ช้อมูลทั่วไป
| ชื่อภาษาไทย | เอทธิลีนออกไซด์ | 
| ชื่อภาษาอังกฤษ | Ethylene oxide | 
| ชื่อทางการค้า | |
| ประเภทสารเคมี | 2.3 ก๊าซพิษ | 
| Cas no. | 75-21-8 | 
| UN Number | 1040 | 
| Formula | C2 H4 O | 
| จุดเดือด | 11 ํC องศาเซลเซียส | 
| จุดหลอมละลาย | -111 ํC องศาเซลเซียส | 
| AEGL1 | 5 | 
| AEGL2 | 45 | 
| AEGL3 | 200 | 
| NFPA |  4
                                    2
                                    3 | 
ความอันตราย
 
                                                                                                                                                                                                                                                                                                             
                                                                                                                                                                                                                             
                                                                                                                                                                                                                             
                                                                                                                                             
                                                                        | กลุ่มสารเคมี | ก๊าซ - เป็นพิษ - ไวไฟ | 
| Polimerization | เป็นวัตถุอันตรายอาจเกิดปฏิกิริยา Polimerization | 
| สารเคมีมีอันตรายสูงหากสูดดม (Toxic Inhalation Hazard:TIH) | เป็น | 
| ก๊าซพิษเมื่่อสารสัมผัสกับน้ำ | |
| อัคคีภัยหรือการระเบิด | 1.ไวไฟ อาจลุกติดไฟเมื่อได้รับความร้อน ประกายไฟ หรือเปลวไฟ 2.เมื่อผสมกับอากาศอาจเกิดส่วนผสมที่ระเบิดได้ 3.สารที่ชื่อมีสัญลักษณ์ตัว P อาจเกิดระเบิดเนื่องจากปฏิกิริยาโพลิเมอไรซ์เมื่อได้รับความร้อนหรืออยู่ใกล้เพลิงไหม้ 4.ไอระเหยจากก๊าซเหลว ในขั้นต้นจะหนักกว่าอากาศ และแพร่กระจายไปตามพื้น 5.ไอระเหยของสารอาจลอยไปหาแหล่งความร้อนหรือประกายไฟ ติดไฟและเปลวไฟยอ้นกลับไปยังต้นกำเนิดอย่างรวดเร็ว 6.สารเหล่านี้บางชนิดอาจทำปฏิกิริยาอย่างรุนแรงกับน้ำ 7.ภาชนะบรรจุอาจระเบิดเมื่อได้รับความร้อน 8.ถังบรรจุก๊าซทรงกระบอกที่ถูกเพลิงไหม้อาจปล่อยก๊าซไวไฟออกมาทางอุปกรณ์ควาบคุมความดันนิรภัย 9.ถังบรรจุก๊าซทรงกระบอกที่ฉีกขาดอาจพุ่งไปในทิศทางต่าง ๆ 10.น้ำเสียจากการดับเพลิงอาจก่อให้เกิดอันตรายจากเพลิงไหม้หรือระเบิด | 
| ผลต่อสุขภาพ | 1.เป็นพิษ อาจทำให้เสียชีวิตหากสูดดมหรือสารดูดซึมผ่านผิวหนัง 2.ไอระเหยทำให้เกิดการระคายเคืองรุนแรง 3.หากสารเกิดลุกไหม้ อาจเกิดก๊าซที่มีฤทธิ์ระคายเคือง กัดกร่อน และ/หรือเป็นพิษ 4.น้ำเสียจากการดับเพลิงอาจก่อมลพิษ | 
การเข้าระงับเหตุเบื้องต้น
| คำแนะนำเบื้องต้น | 1.โทรแจ้งหมายเลขฉุกเฉินที่ระบุในเอกสารกำกับขนส่ง หากไม่พบเอกสาร ฯ หรือ ไม่มีผู้รับสายให้โทรแจ้งหมายเลขที่เหมาะสมที่ระบุอยู่ด้านในปกหลังคู่มือ 2กั้นแยกพื้นที่ที่สารรั่วไหลทันที่อย่างน้อย 100 เมตร(330 ฟุต) ทุกทิศทาง 3กันบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องออกห่างจากพื้นที่ 4อยู่เหนือลม 5ห้ามอยู่ในที่ต่ำ 6. ก๊าซหลายชนิดจะหนักกว่าอากาศและจะแพร่กระจายไปตามพื้น สะสมตัวในที่ต่ำหรือที่อับอากาศ (ท่อระบายน้ำ ห้องใต้ดิน ถึงเก็บ) 7. ระบายอากาศพื้นที่อับอากาศก่อนเข้าระงับเหตุ | 
| กั้นแยกพื้นที่รอบทิศทาง | 100 | 
| กั้นแยกพื้นที่รอบทิศทาง กรณีสารมีสถานะเป็นของเหลว | 0 | 
| กั้นแยกพื้นที่รอบทิศทาง กรณีสารมีสถานะเป็นของแข็ง | 0 | 
ชุดป้องกัน
| คำแนะนำ | 1.สวมใส่ชุดเครื่องช่วยหายใจส่วนบุคคลแบบมีถังอากาศ 2.สวมชุดป้องกันอันตรายจากสารเคมีตามข้อแนะนำของบริษัทผู้ผลิต ทั้งนี้ชุดป้องกันอันตรายจากสารเคมีไม่สามารถป้องกันอันตรายจากความร้อนสูง 3.ชุดดับเพลิงสามารถป้องกันอันตรายได้อย่างจำกัดเมื่อเกิดกรณีเพลิงไหม้สารแต่อาจไม่สามารถป้องกันอันตรายอย่างมีประสิทธิภาพกรณีที่เกิดเฉพาะการหกรั่วไหล | 
| ข้อควรระวัง | |
| Type | 
การอพยพ
การรั่วไหลขนาดเล็ก
| กั้นเขตอัตรายรอบทิศทาง (เมตร) | 0 | 
| เขตป้องกันใต้ลม กลางวัน (เมตร) | 0 | 
| เขตป้องกันใต้ลม กลางคืน (เมตร) | 0 | 
การรั่วไหลขนาดใหญ่
| กั้นเขตอัตรายรอบทิศทาง (เมตร) | 0 | 
| เขตป้องกันใต้ลม กลางวัน (เมตร) | 0 | 
| เขตป้องกันใต้ลม กลางคืน (เมตร) | 0 | 
กรณีเกิดการเพลิงไหม้
| คำอธิบายการอพยพ ในกรณีที่เกิดการลุกไหม้ | 1.หากถังบรรจุขนาดใหญ่ ตู้รถไฟหรือรถบรรทุกสารเกี่ยวข้องกับเพลิงไหม้ ให้กั้นแยกพื้นที่เกิดเหตุ 1,600 เมตร ( 1 ไมล์) และพิจารณาอพยพประชาชนเบื้องต้น 1,600 เมตร ( 1 ไมล์) ทุกทิศทาง | 
| กั้นเขตอัตรายรอบทิศทาง (เมตร) | 1600 | 
| ระยะอพยพประชาชน ในกรณีที่เกิดเพลิงไหม้ หน่วยเป็นเมตร | 1600 | 
| คำแนะนำ | 1. ห้ามดับเพลิงที่เกิดจากก๊าซรั่วจนกว่าจะหยุดการรั่วไหลได้ | 
การดำเนินการเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
กรณีเกิดการเพลิงไหม้
| ข้อควรระวัง หรือคำเตือน เ | 1. ห้ามดับเพลิงที่เกิดจากก๊าซรั่วจนกว่าจะหยุดการรั่วไหลได้ | 
| เพลิงไฟขนาดเล็ก | 1.ผงเคมีแห้ง CO2 น้ำฉีดเป็นฝอย หรือโฟมดับเพลิงชนิดมีขั้ว | 
| เพลิงไฟขนาดใหญ่ | 1.ฉีดน้ำเป็นฝอย หมอก หรือโฟมดับเพลิง 2.สำหรับสารคลอโรซิเลน (Chlorosilanes) ห้ามใช้น้ำ ให้ใช้โฟมดับเพลิงชนิดมีขั้วแบบขยายตัวปานกลาง 3. เคลื่อนย้ายภาชนะบรรจุออกจากบริเวณเพลิงไหม้ หากทำได้โดยไม่เสี่ยงอันตราย 4. ท่อบรรจุก๊าซทรงกระบอกที่ชำรุดต้องได้รับการจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ | 
| เพลิงไหม้ หรือ เกิดอยู่ใกล้ ภาชนะบรรจุหรือรถขนส่ง | 1. ฉีดน้ำดับเพลิงจากระยะไกลที่สุด หรือใช้หัวฉีดน้ำชนิดที่ไม่ต้องใช้คนควบคุมรหือใช้แท่นฉิดน้ำแทน 2. ห้ามฉีดน้ำไปยังรอยรั่วหรืออุปกรณ์ระบายความดันโดยตรง อาจมีน้ำแข็งเกาะบริเวณดังกล่าว 3. ถอนกำลังเจ้าหน้าที่ทันทีหากอุปกรณ์ระบายความดันนิรภัยของภาชนะบรรจุเกิดเสียงดังหรือภาชนะบรรจุเปลี่ยนสี 4. ฉีดน้ำปริมาณมากหล่อเย็นภาชนะบรรจุ จนกว่าเพลิงจะสงบ 5. อยู่ห่างจากภาชนะบรรจุที่ไฟลุกท่วมตลอดเวลา | 
| เพลิงไหม้ หรือ เกิดอยู่ใกล้ ตู้สินค้า | 
กรณีเกิดการหกรั่วไหล
| วิธีการเข้าระงับเหตุ | 1. กำจัดแหล่งที่อาจทำให้เกิดการจุดไฟทั้งหมด (ห้ามสูบบุหรี่ จุดพลุ ทำให้เกิดประกายไฟ หรือเปลวไฟบริเวณจุดเกิดเหตุ) 2. อุปกรณ์ที่ใชในการถ่ายเทหรือขนย้ายสารต้องต่อสายดิน 3. ห้ามฉีดน้ำใส่สารที่นองพื้นที่หรือจุดรั่วไหลโดยตรง 4. สวมชุดป้องกันไอระเหยสารแบบคลุมทั้งตัว หากต้องปฏิบัติหน้าที่ในบริเวณที่มีการรั่วไหล แต่ไม่มีเพลิงไหม้ 5. ห้ามสัมผัสหรือเดินย่ำผ่านบริเวณที่สาารหกรั่วไหล 6. ระงับการรัวไหล ทำได้โดยไม่เสี่ยงอันตราย 7. ฉีดน้ำเป็นฝอยดักจับกลุ่มไอระเหยสารเพื่อลดความเข้มข้นหรือเปลี่ยนทิศทางไอระเหย แต่พยายามอย่าให้น้ำที่ฉีดไหลไปสัมผัสกับตัวสารที่หกรั่วไหลโดยตรง 8.สำหรับสารคลอโรซิเลน (Chlorosilanes) ให้ใช้โฟมดับเพลิงชนิดมีขั้ว ชนิดขยายตัวปานกลางฉีดคลุมลดไอระเหย 9. หากเป็นไปได้ให้หมุนภาชนะบรรจุจนอยู่ในต่ำแหน่งที่จะมีก๊าซรั่วออกมาเท่านั้น แทนที่จะเป็นของเหลว 10. ป้องกันมิให้สารไหลลงน้ำ ท่อระบายน้ำ ชั้นใต้ดิน หรือบริเวณอับอากาศ | 
| คำเตือนสำหรับการเข้าระงับเหตุเมื่อเกิดการหกรั่วไหล | |
| หกรั่วไหลปริมาณเล็กน้อย | |
| หกรั่วไหลปริมาณมาก | 
การปฐมพยาบาล
| คำแนะนำ | 1.นำผู้บาดเจ็บไปยังพื้นที่อากาศบริสุทธิ์ 2. โทรแจ้ง 191 หรือหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ฉุกเฉิน 1669 3. ใช้เครื่องช่วยหายใจหากผู้บาดเจ็บหยุดหายใจ 4.เฝ้าระวังอาการผู้บาดเจ็บ 5. ห้ามผายปอดด้วยวิธีการเผ่าปาก หากผู้บาดเจ็บกลือนหรือหายใจรับสารเคมีเข้าสู่ร่างกายให้ใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดมีที่ครอบให้อากาศแบบวาล์วทางเดียว หรืออุปกรณ์ช่วยหายใจอื่นที่เหมาะสม 6. ให้ออกซิเจนถ้าผู้บาดเจ็บหายใจลำบาก 7. ถอดและแยกเก็บเสื้อผ้าและรองเท้าที่ปนเปื้อน 8. ถ้าสัมผัสกับสาร ให้ล้างผิวหนังและดวงตาโดยวิธีให้น้ำหลผ่านทันที อย่างน้อย 20 นาที 9.กรณีที่สัมผัสกับก๊าซเหลว ใช้น้ำอุ่นล้างเพื่อทำให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวคลายตัว 10. กรณีเกิดแผลไหม้ ทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเย็นทันทีโดยแช่น้ำเย็นนานเท่าที่จะทำได้ ห้ามถอดเสื้อผ้าที่แข็งติดกับผิวหนัง 11. รักษาอุณหภูมิร่างกายผู้บาดเจ็บให้อบอุ่นและให้อยู่ในที่สงบ 12. อาการบาดเจ็บจากการสัมผัสกับสาร(หายใจ กิน สัมผัส) อาจเกิดขึ้นช้า (ภายใน 48 ชั่วโมง) 13. ต้องมั่นใจว่าหน่วยแพทย์ทราบชนิดและอันตรายของสารต่าง ๆ รวมทั้งมีการป้องกันตนเองอย่างเหมาะสม | 
มาตรการกำจัดของเสีย
| ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ดูดระบายอากาศ ห้ามฉีดน้ําลงบนของเหลวโดยตรงกําจัดก๊าซโดยสเปรย์น้ําบางๆ ห้ามล้างลงท่อระบายน้ํา | 
การทำปฏิกิริยา การระเบิด
| สารรวมตัวเป็นโพลิเมอร์เนื่องจากความร้อนและภายใต้อิทธิพลของกรด ด่าง metal chloride และ metal oxides ทําให้ เกิดการติดไฟและการระเบิด สารสลายตัวเมื่อได้รับความร้อนโดยไม่มีอากาศที่อุณหภูมิสูงกว่า 560 ํC ทําให้เกิดการติดไฟและการระเบิด สารสามารถทําปฏิกิริยาอย่างรุนแรงกับสารประกอบหลายประเภท | 
ข้อมูลสารเคมีที่ทําปฏิกิริยากัน
ข้อมูลการเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์
| สารนี้เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ํา | 
มาตรการป้องกัน
| ตั้งถังให้ส่วนที่รั่วอยู่ด้านบนเพื่อป้องกันการรั่วไหลของก๊าซเหลวผู้ที่มีอาการหอบหืดเนื่องจากสารนี้ต่อไปควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารนี้ อาการหอบ มักจะไม่ปรากฏทันทีจนเวลาผ่านไป 2-3 ชั่วโมง |